วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ฝึกโยคะ ท่า “อายุยืน” Practice Yoga to live longer


หลายคนคงมีความรู้สึกว่า การฝึกโยคะเป็นเรื่องยาก ต้องไปฝึกที่ศูนย์โยคะ คนทำได้คือคนเก่ง เราส่วนใหญ่รู้ว่า ถ้าเราฝึกโยคะได้ จะมีรูปร่างที่ดี สุขภาพแข็งแรง แต่เราก็หาเวลาไปฝึกไปเรียนไม่ได้เสียที บางทีเรารู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับเราหรือเปล่า แบบว่าเกิดมาตัวแข็ง ไปฝึกที่ฟิตเนส ก็ตามไม่ทัน หายใจก็ไม่ทันคนอื่น จริงๆแล้ว ถ้าเราเรียนรู้หลักการจัดวางท่า และการหายใจเบื้องต้น ก่อน เราก็สามารถฝึกโยคะท่าง่ายๆที่บ้านเองได้ ท่าง่ายไม่ได้แปลว่าจะมีประโยชน์น้อยกว่าท่ายาก ท่าง่ายๆนี้แหละมีประโยชน์มาก สำหรับการฝึกท่ายาก ควรไปหาครูเพื่อช่วยในการฝึก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้
วันนี้กูรูขอนำเสนอ การฝึกโยคะท่าง่ายๆ ทำเองที่บ้านได้ ชื่อ ท่า ชานุศีรษะอาสนะ แปลว่า ท่าศีรษะจรดเข่า (Shanu srisasana)
ท่านี้ ควรฝึกทั้งแบบที่มีการงอเข่าข้างใดข้างหนึ่งเข้ามา และ แบบเหยียดขาตรงทั้งสองข้าง เป็นท่าที่ช่วยให้พลังงานในร่างกายไหลเวียนครบวงจร เชื่อกันว่า เป็นท่าที่ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง



เตรียมท่า เริ่มต้น จากการนั่งเหยียดขา ไปบนพื้น  เท้าอีกข้างงอเข้ามาแตะต้นขาด้านใน
Step 1 หายใจเข้า วาดมือทั้งสองข้างขึ้นไปเหนือศีรษะ แขนเหยียดตรง
Step 2 หายใจออก ก้มตัวลง มือทั้งสองข้างวาดลง ค่อยๆเหยียดหลัง ลดตัวลง โน้มศีรษะมาด้านหน้า มือจับปลายเท้า ศีรษะจรดเข่า (ถ้าทำได้) เข่าตึง พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ประมาณสามรอบลมหายใจ
Step 3 หายใจเข้า วาดมือขึ้นเหนือศีรษะ แขนเหยียดตรง
Step 4 หายใจออก วาดมือลงด้านข้างลำตัว เปลี่ยนข้าง

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

แต่งตา ให้เหมาะกับตา ^^ Shade your Eyes

Shade your Eyes


เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ดวงตาเราก่อน ว่าเราเป็นคนตาชิดหรือตาห่าง เริ่มจากการวัดความกว้างของใบหน้าตามแนวนอน จากไรผมของหูด้านหนึ่ง มาถึงแก้มให้ตรงกับกึ่งกลางลูกตา แล้วก็วัดจากกึ่งกลางลูกตาด้านหนึ่ง ไปถึงอีกด้านหนึ่ง เอาสองเส้นนี้ มาเทียบกันดูว่าอันไหนยาวกว่าถ้าเส้นที่ลากจากไรผมมากึ่งกลางลูกตายาวกว่า แปลว่าแก้มเยอะ แสดงว่าตาเราสองข้าง โดนแก้มเบียดจนชิดกัน เราจึงเป็นคนตาชิด แต่ถ้าเส้นที่วัดได้เท่ากันแปลว่าตาปกติ แต่ถ้าเส้นที่วัดจากกลางลูกตา ด้านหนึ่งมาอีกด้าน ยาวกว่า ก็แสดงว่า เราเป็นคนตาห่าง

เราเป็นคนตาลึกหรือตาโปน หรือตาปกติ คิดง่ายๆว่าถ้าหน้าผากเราล้ำลงมาบริเวณลูกตามาก ตาเราก็จะอยู่ลึก สังเกตว่าเนื้อที่ที่จะให้เราระบายสีตาจะมีน้อย แต่ถ้าดูว่ามีเนื้อที่ว่างใต้คิ้วเยอะ แสดงว่ากระดูกหน้าผากยกสูง ตาก็ย่อมโปนเป็นธรรมดา ถ้าเราดูๆแล้วมันไม่ค่อยชัดเจน จะว่าโปนก็ไม่โปน ลึกก็ไม่ค่อย ก็สันนิษฐานขั้นต้นว่า ตาปกติค่ะ



กลับมาที่ลักษณะดวงตาของเราที่เพิ่งจะพินิจไปเมื่อครู่ การแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปหน้าจะทำให้หน้าตาเราดูดีขึ้น เหมือนกับเวลาเราแต่งตัว ก็ต้องแต่งให้เหมาะกับรูปร่าง การลงน้ำหนักของสีจากหัวตาถึงหางตาจะต้องดูจากตำแหน่งดวงตาบนใบหน้า ถ้าเราเป็นคนตาชิด การลงเงาที่ช่วงหางตา จะทำให้ตาเรามี น้ำหนัก ดูห่างออกมาจากจมูกมากขึ้น ในขณะที่ถ้าเราเป็นคนตาห่าง เราควรจะเน้นให้สีเข้มอยู่บริเวณหัวตา เพิ่มน้ำหนักให้ดวงตาเข้ามาอยู่ใกล้กันมากขึ้น  ส่วนน้ำหนักของสีที่ไล่ขึ้นจากขอบตาไปข้างบน ว่าควรจะไล่ความเข้มอย่างไร ขึ้นอยู่กับความลึกหรือโปนของตาเรา ถ้าเราเป็นคนตาโปน ช่วงสีเข้มอาจจะต้องไล่สูงขึ้นกว่าคนตาลึก เพราะเราต้องการใช้สีเข้มกลบความโปนของดวงตา ขณะที่คนที่ตาลึก ควรระวังไม่ให้ช่วงสีเข้มอยู่สูงเกินไป เพราะจะทำให้ตายิ่งดูลึก การใช้ สีอ่อน หรือสีสว่างทั้จะทำให้บริเวณที่เราลงสี ดูกว้าง เด่น และอาจใช้ในการทำให้บริเวณนั้นดูสูงขึ้นจากดวงหน้า จึงพึงระวัง หลีกเลี่ยงการลงสีอ่อนสว่างบริเวณที่เราไม่งาม เช่น ริ้วรอยต่างๆ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ช้ำใจมากขึ้น ขณะที่สีเข้ม จะทำให้ดูแคบ มืด มีเงา อาจใช้เพื่อปกปิดส่วนเกิน ส่วนกว้างที่มากเกินไปของหน้าเราได้ 



ส่วนใหญ่ เราคนไทยจะไม่ค่อยมีเบ้าตาลึกเหมือนฝรั่ง เราจึงมักนิยม ลงสีเข้มเพื่อให้เกิดเงาบริเวณเบ้าตา (คัดเบ้า)เพื่อให้ดวงตาดูมีมิติมากขึ้น
สำหรับคนตาชั้นเดียว หรือ สองชั้นหลบใน เมื่อลืมตาขึ้นแล้วต้องอุทานว่า โอ้ แม่เจ้า สีทั้งหลายมันหายไปหมด เราสามารถสร้างชั้นตาหลอกขึ้นมาได้โดยทาสีเข้มที่สุดเลยขึ้นมาอีก โดยกะประมาณตอนลืมตา แล้วทาสีเข้มที่สุดตอนลืมตาให้ชิดขอบตา แล้วไล่สีอ่อนขึ้นไปตามปกติ ส่วนที่ว่างของตาที่ยังเหลืออยู่เวลาเราหลับตา ก็ให้ระบายสีอ่อนลงไป อย่างไรก็ดีให้ไล่สีทั้งหลายให้มีความกลมกลืนสวยงาม อย่าให้มันดูแยกชั้นชัดเจนนัก

การสร้างชั้นตาปลอมยังมีอีกหลายวิธี เช่น เอากาวติดขนตามาทาบริเวณหนังตาเล็กน้อยพอหมาด แล้วเอาไม้จิ้มฟันหรือไม้พายตักรองพื้นที่หัวเล็กๆแบนๆ เอามากดๆบริเวณที่ทากาวตรงกลางแล้วบีบไว้สักครู่ ทำให้หนังตามาติดกัน ก็จะเกิดร่องธรรมชาติจากรอยย่น หรือเอาเทป 3M ที่ใช้เวลาติดกับผ้าก๊อซพันแผลมาตัดเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ติดกดลงไปหนังตาบน ก็จะเกิดเป็นร่องขึ้นมา แต่วิธีนี้เราต้องแต่งตาทับ เพราะจะเห็นเทปชัดถ้าปล่อยไว้เปล่าๆ

อย่างไรก็ตาม ให้เราลองแต่งตาแล้วสังเกตวิเคราะห์ดวงตาของเราดู เพราะแต่ละคนก็ย่อมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง การทำความเข้าใจรูปตาของเราก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ



วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

แปรงแต่งหน้า เคล็ดลับสู่ความบรรเจิด


Introduction to MakeUp Brush


เชื่อว่า สาวๆหลายคน อาจจะสงสัยว่า ทำไมเราถึงแต่งหน้าไม่ได้อย่างช่าง อุปกรณ์ต่างๆ สีสันทุกสิ่งที่เราซื้อมาก็มากมายตามอารมณ์ ทำไม้ ทำไม ยังทำไม่ได้สักที กูรูขอนำเสนอ ให้เราเข้าใจต้องตรงกันก่อน ว่าบรรดาช่างทั้งหลายที่เราไปใช้บริการนั้น ท่านก็ไม่ได้จุติมา พร้อมคาบพู่กันกับจานสีออกมาแต่อ้อนแต่ออกแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ท่านก็ไปอบรม และฝึกฝนจนแก่กล้า เป็นเวลาหลายพรรษา ว่ากันไป หากเราจะทำให้ได้อย่างท่าน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ค่อยๆเก็บทิปไปทีละนิด ใช้กันไปทีละวัน ปรับปรุงกันไป ทีละขั้น วันนึงเราก็จะกลายเป็นกูรูเช่นเดียวกัน หุหุ
ว่าด้วยเรื่องพื้นฐานของการแต่งหน้า เราก็ต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะใช้ได้ เพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรง ทุ่นเวลาและพลังงานในการแต่งหน้าในแต่ละวัน อันว่าเหล่าแปรงอันเล็กอันน้อย ที่ติดมากับ ตลับอายแชโดว์ หรือ ตลับแปรงแก้มทั้งหลาย กูรูทั่วโลก เห็นพ้องตรงกันว่า สามารถโยนทิ้งไปได้เลยค่า เนื่องจากความสามารถของแปรงเหล่านี้มีต่ำมาก ไม่อาจเยียวยาหน้าเราให้งามขึ้นได้ แล้วกูรู แนะนำให้ใช้อะไร จะบรรเลงด้วยมือแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ก็ไม่ควร จริงอยู่อาจมีกูรูบางท่านมีความสามารถในการนำสีสันทั้งหลายมาบรรเลงลงบนใบหน้าเราได้ โดยใช้เพียงนิ้วมือของท่าน แต่ เราปุถุชนคนเพิ่งเริ่ม และกูรูอีกจำนวนมาก ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า การใช้แปรงแต่งหน้า ทำให้ชีวิต ง่ายกว่ามาก ในตอนนี้ บิวตี้กูรูจึงขอนำเสนอ ว่าด้วยเรื่อง “แปรงแต่งหน้า” โดยเฉพาะ

ชนิดของแปรงแต่งหน้า Type of Brushes


เราอาจจะแบ่งแปรงออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆคือ แปรงสำหรับเครื่องสำอางชนิดเนื้อฝุ่น (เช่นอายแชโดว์ บลัชออน) และเครื่องสำอางเนื้อครีม (เช่น รองพื้น ลิป อายไลเนอร์) แปรงสำหรับเครื่องสำอางเนื้อฝุ่น ควรทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ เพื่อไม่ทำให้เกิดความหยาบกระด้างบนใบหน้า การใช้แปรงพลาสติค อาจจะให้หน้าของเราขึ้นฝ้ากระได้ หากใช้ไปนานๆ (น่ากลัวจริงๆ) ส่วนแปรงสำหรับเนื้อครีม จะทำจากขนสังเคราะห์ ซึ่งจะมีคุณภาพหลายระดับแตกต่างกันไป

แปรงรองพื้น Foundation Brush



ใช้เกลี่ยรองพื้นลงให้ทั่วใบหน้า หลายคนอาจจะถนัดการใช้มือ และฟองน้ำร่วมด้วย แต่แปรงชนิดนี้ จะช่วยทำให้เราสามารถเข้าถึงซอกเล็กๆได้ดีขึ้น เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น ไม่ได้ทำให้เปลืองของแต่อย่างใด

แปรงคอนซีลเลอร์ Concealer brush



ใช้ในการแต้มคอนซีลเลอร์ เพื่อปกปิด อำพราง จุดด่างดำบนใบหน้า หรือใช้เพื่อ ช่วยในการปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติขึ้น ในขั้นตอนการ ไฮไลท์ เฉดดิ้ง เช่น ไล้สันจมูกให้ดูโด่งขึ้น ตัดกรามออก ทำให้หน้าดูเรียว หรือใช้กับรองพื้นชนิดครีมที่มีสีเข้ม หรืออ่อนกว่า ก็ได้

แปรงปัดแป้ง Powder Brush



ใช้ในการปัด แป้งฝุ่น แป้งแข็ง แป้งทูเวย์ลงบนใบหน้า หัวพู่กันกลม ใช้ในการปัดเพื่อเก็บรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการเฉดดิ้งเล็กๆน้อยข้างแก้มด้วยแป้งที่มีสีเข้มขึ้น หรือ ปัดแป้งที่มีสีสว่างบริเวณกลางใบหน้า ทำให้การแต่งหน้าดูนุ่มนวล เรียบร้อย

แปรงปัดแก้ม Blush Brush



ควรมีขนาดใหญ่ประมาณ 1.5-2 นิ้ว ใช้ในการปัดบลัชออนบนใบหน้า ปลายมีลักษณะเฉียงเหมาะกับการแรเงาเป็นเฉดดิ้งใต้โหนกแก้ม ง่ายต่อการใช้งาน ขนแปรงที่ดีเมื่อปัดแล้วควรทำให้สีสันเกิดความกลมกลืน นวลเนียน
แปรงที่ติดมากับกล่องบลัชออนส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเกินไป และขนไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร ทำให้เราปัดแก้มให้สวยได้ยาก  ควรมีแปรงปัดแก้มที่มีคุณภาพดีแยกต่างหาก

แปรงปัดคิ้ว Brow Brush



ปกติแล้วการตกแต่งคิ้ว เราจำเป็นต้องมีดินสอเขียนคิ้ว วาดคิ้วให้ได้เป็นโครงก่อน แปรงปัดคิ้วจะใช้ในการปัดคิ้วให้ได้รูป และการลงสีอายแชโดว์ ลงบนคิ้ว มักใช้สีน้ำตาลทอง ลงหัวคิ้ว สีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ลงหางคิ้ว (หัวสีจาง หางสีเข้ม แต่ขนาดจะไล่ความกว้างมาจากหัวคิ้ว และเรียวที่หางคิ้ว) ทำให้คิ้วเราดูนุ่มนวล เนียน ไม่หนาเกินเหตุ
แปรงปัดคิ้ว ควรมีขนาดเล็กพอดีกับคิ้ว ขนแน่น มีความแข็งเล็กน้อย และปลายตัดเฉียง เพื่อสะดวกในการวาดตามรูปคิ้ว

แปรงทาตา Eye Shadow Brush



ใช้ในการทาอายแชโดว์ลงเปลือกตา ขนแปรงควรมีความนุ่ม ฟู แน่น เพื่อให้ลงสีได้เรียบเนียน เกลี่ยให้กลมกลืนได้ง่าย มีทั้งแบบปลายแบนและปลายกลม
เราควรมีแปรงชนิดนี้ไว้อย่างน้อย 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ กลาง เล็ก เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน และถ้าเราสามารถแยกแปรงที่ใช้สำหับอายแขโดว์สีอ่อน กับสีเข้มออกจากกันได้ ก็จะยิ่งทำให้สะดวกในการแต่งหน้าครั้งต่อๆไปด้วย

แปรงเกลี่ยอายแชโดว์ Eye Contour, Blending brush 




ใช้เพื่อเกลี่ยอายแชโดว์ชนิดฝุ่นให้มีความกลมกลืน เป็นชิ้นที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการแต่งตาแบบ smokey eyes

พู่กันทาปาก Lip Brush



ใช้ในการทาลิปสติกบนริมฝีปาก ทำให้สีสันเรียบเนียน คมชัด ดีกว่าการทาลิปสติกลงบนปากโดยตรง ขนพู่กันควรจะแบนและแน่น ไม่นิ่มจนเกินไป เพื่อให้บังคับน้ำหนักในการทาสีได้ดี



วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ขั้นตอนการทา Eye Shadow




1. เลือกใช้ Eye Shadow สีที่อ่อนที่สุดลงเบาๆ ให้ทั่วเบ้าตา เลยไปจนถึงกระดูก
ใต้โหนกคิ้ว สามารถเลือกใช้ทั้งแบบฝุ่น แบบเนื้อครีมหรือ Eye Shadow ชนิดอื่นๆ
ก็ได้ แต่ถ้าเป็นคนที่เปลือกตามัน แนะนำให้ใช้แบบครีมเพื่อเป็นไพร์มเมอร์รองพื้น
เปลือกตาให้ Eye Shadow มีสีสันติดทนนาน ไม่เลอะเปื้อนระหว่างวัน

2. ใช้แปรงหัวใหญ่ลง Eye Shadow สีกลางบริเวณกึ่งกลางเปลือกตาไล่ไปถึง
ปลายหางตา

3. จากนั้นใช้แปรงอีกด้านแต้ม Eye Shadow สีเข้มที่สุดลงบริเวณรอยพับ
เปลือกตาตั้งแต่หางตาเข้ามาจนถึงกึ่งกลางตา เหมือนวาดรูปสามเหลี่ยม



4. ใช้นิ้วมือหรือแปรงเบลนด์เบาๆ ในบริเวณเหนือรอยพับเพื่อให้ Eye Shadow
สีเข้มและสีอ่อนที่ลงไปได้ลุคฟุ้งๆ นุ่มนวล เป็นธรรมชาติ
T     

5. แต้ม Eye Shadow เนื้อชิมเมอร์หรือกลิตเตอร์แตะบริเวณกึ่งกลางเปลือกตา
เพื่อให้เปลือกตาดูเป็นประกายสดใส

6. ใช้แปรงหัวเรียวเล็กจุ่มน้ำแล้วแต้ม Eye Shadow สีเข้มที่สุด วาดเส้นขอบตา
ให้ชิดกับแนวเส้นขนตา ทั้งขอบตาบนและขอบตาล่าง เพื่อสร้างกรอบให้ดวงตาดูคมชัด
และมีมิติมากขึ้น

7. สุดท้ายใช้ Eye Shadow เนื้อชิมเมอร์สีอ่อนสุดระบายที่โหนกคิ้ว และแต้ม
หัวตาเล็กน้อย เพื่อสร้างไฮไลต์ให้ดวงตาดูสว่างและมีมิติชัดเจน ก่อนจะกรีด
อายไลเนอร์ ดัดขนตา และปัดมาสคาร่าให้ขนตางอนงาม

By Beauty Guru  2013